วันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2551

งานแสนสุข : เห็นโลกตามจริง

วันคืนผ่านไปเร็วยิ่ง เป็นความสุขของชีวิตที่ได้เติบโตและใช้เวลาอันสั้นให้มีค่า มีความสุข กับหน้าที่การงาน ที่ได้ทำอย่างเต็มกำลัง

ความสุขเป็นสิ่งที่เราต้องการ และเป็นผลจากเหตุที่เราเป็นผู้กระทำ การทำงานให้เป็น งานแสนสุข นั้นทำได้หลายหนทาง และแนวทางที่นำเสนอนี้ เป็นเพียงแนวทางหนึ่งในหลายหลายทางนั้นนะครับ

ผมนำเสนอว่าเราควรมีท่าทีต่อสิ่งต่างๆ ที่เราเกี่ยวข้องห้าประการคือ เห็นโลกตามจริง ทุกสิ่งธรรมดา งานพาชีวิต มุ่งมิตรมากมาย หลากลายวิจารณ์ ท่าทีของเราต่อสิ่งรอบข้างจะทำให้เรามีความสุขในชีวิตการทำงานได้ งานทั้งหลายจะเป็น งานแสนสุข ครับ

ก่อนอื่นทำความเข้าใจให้ตรงกันนะครับว่า โลกที่เราจะพูดกันนี้ เป็นโลกเรารับรู้ได้ทั้งกายและใจ อยู่แวดล้อม และมีผลต่อเรา ความเป็นจริงในโลกจึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา มีคนเคยแบ่งโลกนี้เป็นสองระดับ เรียกยาก ๆ ว่า โลกุตระ และ โลกียะ หรือเรียกง่ายๆ ว่า ความจริงแท้ และความจริงเทียม

ความจริงแท้นั้น แท้แน่ๆ ครับ คือ ความจริงมีอย่างไรจะเป็นอยู่อย่างนั้น แต่ความจริงเทียมนั้น อย่างไรมันก็ไม่จริง พักไว้ก่อนที่จะปวดหัว และไม่มีความสุขนะครับ

หันมามองดูโลกนี้ โลกประกอบด้วยมนุษย์มากมาย มนุษย์แต่ละคนก็เป็นเพียงหนึ่งเดียวในโลก ไม่มีใครเหมือนใครแม้แต่ฝาแฝด ทุกคนเป็นคนพิเศษ แต่ในจิตใจของมนุษย์มีสิ่งที่เหมือนกัน คือ ต้องการ ความรัก ความเข้าใจและการยอมรับ แม้ความคิดอื่น ๆ ของเราจะแตกต่างกัน แต่พื้นฐานสามประการนี้ ยังคงเหมือนกัน

นอกจากนั้น มนุษย์ในโลกนี้ และสิ่งแวดล้อมตัวมนุษย์ ยังคงเกี่ยวสัมพันธ์กัน อย่างไม่สามารถแยกออกจากกันได้ เราทำอะไรลงไปย่อมกระทบถึงกันไปทั้งหมด ใส่ความดีลงไป ความดีจะส่งผลไปทั้งจักรวาล และตรงกันข้ามถ้าใส่ความไม่ดีลงไปจะส่งผลกระทบไปทั่วเช่นเดียวกัน

อีกประการหนึ่ง สิ่งต่าง ๆ ที่เรามองเห็น รับรู้ได้จะมีความจริงสามลักษณะที่ซ้อนกันอยู่ ตราบเท่าที่เราและคนอื่นยังมีความเห็นไม่ตรงกัน ความจริงสามลักษณะคือ

เราในลักษณะอย่างที่เราคิดว่าเราเป็น
เราในลักษณะอย่างที่คนอื่นคิดว่าเราเป็น
และเราในลักษณะเป็นไปตามที่เราเป็นจริง ๆ

มองไปรอบๆ ซิครับ ทุกวันนี้ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น เพราะทุกฝ่ายเข้าใจความจริงที่เกิดขึ้นไม่ตรงกัน ผลตามมาจากความขัดแย้งคือ การเบียดเบียนกันและกัน ที่ใดมีการเบียดเบียนที่นั่นไม่มีความสุขนะครับ เพื่อความสุข ลองอ่านนิทานสักเรื่องนะครับ

นิทานเรื่องนี้ กล่าวถึงอาจารย์เซ็นรูปหนึ่ง(พระในประเทศญี่ปุ่น) มีโยม ก. มาปรึกษาพร้อมกับกล่าวโทษโยม ข. แล้วสรุปว่า โยม ข. ไม่ดี เมื่อโยม ก. กล่าวจบอาจารย์ฟังแล้วจึงให้ความเห็นว่า “ถูกของโยม”
พอโยม ก. กลับไป โยม ข. ทราบข่าวจึงรีบมาหาอาจารย์ เล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟังและกล่าวหาโยม ก. ว่าไม่ดีเช่นกัน เมื่ออาจารย์ฟังจบจึงให้ความเห็นว่า “ถูกของโยม”
โยม ข. กลับไปแล้ว เณรน้อยที่นั่งฟังทั้งโยม ก. และ โยม ข. ไม่เข้าใจในคำตอบของอาจารย์ กล่าวกับอาจารย์ว่า “อาจารย์ครับ น่าจะมีใครถูกสักคนนะครับ” อาจารย์จึงตอบเณรว่า “ถูกของเณร”
นิทานเรื่องนี้จบลงด้วยประการฉะนี้ ครับ


ผมขอเสนอมุมมองว่า ไม่ว่าจะมีเราหรือไม่ สิ่งต่างๆ รอบตัวเราจะเป็นอยู่อย่างนั้น ทุกวันนี้เราให้ความหมายต่อสิ่งต่างๆ อย่างที่เราอยากให้เป็น เราวัดและตั้งมาตรฐานวัดทุกสิ่งในโลก เราแบ่งมันเป็นสิ่งต่างๆ แต่เราไม่ได้รู้จักโลกตามที่มันเป็น

ถ้าเราหยุดใส่ความคิดเข้าไปในสิ่งต่างๆ หยุดวัด หยุดแบ่ง เราจะมีความสุขในการเป็นอยู่ในโลกที่เป็นไปด้วย การเบียดเบียนนี้ เราควรรับรู้โลกตามที่เป็นอยู่ รับรู้ผู้อื่นตามที่เป็นอยู่ เข้าใจและยอมรอบรับเขา สงครามในใจเราจะสงบลง เราทุกคนยังต้องเกี่ยวข้องกัน ในช่วงเวลาของการทำงานร่วมกัน โปรดให้ให้ความรัก อย่างแท้จริง เอื้ออาทรแก่กันอย่างจริงใจ แล้วก้าวไปในชีวิตการทำงานร่วมกันอย่างมีความสุข

เจ้านาย เพื่อนร่วมงาน ลูกน้อง เป็นสิ่งที่มีความหมายตามที่สังคมมนุษย์กำหนด และคาดหวังว่าเขาจะเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ ความจริงคือเขาเป็นอยู่อย่างที่เขาเป็นนั่นละครับ อย่าไปคาดหวังว่าจะต้องเป็นไป ตามที่สังคมมนุษย์คิดครับ

ในโลกที่เบียดเบียนนี้ นอกจากอันตรายจากธรรมชาติแล้ว มนุษย์ยังสร้าง เงินทอง ชื่อเสียง และอำนาจ ขึ้นมาเพื่อทำร้ายมนุษย์ด้วยกันเอง แต่เราสามารรถป้องกันได้ครับ ด้วยเครื่องมือดังต่อไปนี้ คือ รู้จักพอ มีความรักที่แท้ และไม่คิดเป็นใหญ่ในโลก

สิ่งที่นำเสนอนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่เป็นพื้นฐานของความสุขได้ เมื่อโลกเต็มไปด้วยความเบียดเบียน ต่อสู้ด้วยความรักที่แท้ การเบียดเบียนจะไม่เกิดขึ้นความสุขจะตามมา อันเงินทอง ชื่อเสียง และอำนาจ ต่อสู้ได้ด้วยการรู้จักพอและไม่คิดเป็นใหญ่ในโลก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น