วันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2551

งานแสนสุข : ข้างที่สงบ

การงานอันแสนสุขพาชีวิตเราผ่านช่วงเวลาอีกช่วงหนึ่งแล้วนะครับ

เราแลกเปลี่ยนความคิดกัน เพื่อจะค้นพบร่วมกันในการทำงานที่หล่อเลี้ยงชีวิตให้มีความสุข ตามสมควรแก่ชีวิต เราทำความเข้าใจกับการทำงานด้วยการสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเราด้วยการรับรู้ถึงความเป็นจริง มองความเป็นธรรมดาของทุกสิ่งในโลกที่แวดล้อมอยู่ และเข้าใจถึงความคิดของเรา ที่เป็นสิ่งนำพาการงานและชีวิตให้เป็นไปตามที่เป็นมานี้

เราจะมี ข้างนอกสงบ ข้างในแจ่มกระจ่างชัด มั่นคงจากภายใน ด้วยความเข้าใจภายนอก แล้วสิ่งแวดล้อมเราล่ะ บรรยากาศการทำงานที่ต้องสัมผัสอยู่ทุกวันล่ะ

สิ่งที่แวดล้อมเรามากที่สุดสัมผัสมากที่สุด คือสังคมโดยรอบของเรา ครอบครัว เพื่อนร่วมงาน ผู้คนที่แวดล้อมและมีปฏิสัมพันธ์กับเราอยู่ตลอดเวลา เป็นความสงบเย็นหรือสนามรบ
แล้วถ้าเราใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวหรือทำงานกับเพื่อนร่วมงาน เหมือนกับอยู่ในสนามรบ แค่คิดก็น่ากลัวนะครับ

ลองนึกดูครับ ถ้าเราอยู่ท่ามกลางสนามรบ เราต้องระมัดระวังอันตรายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นจากข้าศึกศัตรูที่มีอาวุธ มุ่งมาทำร้าย หรือจากผู้ที่มาป้องกันเรา ที่มีอาวุธ ความสุขย่อมไม่มาจากใจของผู้ดิ้นรน ต่อสู้ ถืออาวุธมุ่งทำลายกัน สิ่งที่ออกมาย่อมเป็นการเบียดเบียน แม้แต่การป้องกันตัวย่อมนำไปสู่โอกาสแห่งการเบียดเบียนเช่นเดียวกัน สงครามทำลายทุกอย่างครับ

ความสงบตรงกันข้ามครับ ลองนึกถึงวัดในความฝันนะครับ เพราะวัดในความเป็นจริงยังมีการกระทบกระทั่งทิ่มแทงกันบ้างตามธรรมดาโลกครับ สงบมากบางครั้งไม่นำไปสู่การพัฒนาใดๆ สงบจนกระทั่งหลงไปนะครับ หลงวนเวียนอยู่ไม่มีแก่นสาร

สนามรบเป็นโลกของความวุ่นวาย ตรงข้ามกับความสงบ ทั้งสองประการย่อมเกิดแต่ในใจมนุษย์ มนุษย์ที่ในใจมีความต้องการ ความรัก ความเข้าใจ และการยอมรับ เหมือนกันแต่มนุษย์นั้นแตกต่างกันโดยพื้นฐานสติปัญญา สังคม อารมณ์ น่าปวดหัวนะครับ แต่มนุษย์กลับสร้าง สนามรบและความสงบจากใจของมนุษย์เอง
สนามรบและความสงบในใจ ขยายออกไปสู่สนามรบและความสงบภายนอก

สนามรบในใจโดยทั่วไปเกิดจากความดีและความเลวในใจของเราต่อสู้กัน บางครั้งความดีความเลวภายนอกก็มากระตุ้นให้ความดีความเลวในใจของเราทำสงครามกัน เมื่อปราศจากความดีความเลว หรือสิ่งตรงกันข้ามทั้งภายนอกและภายในกระทบกัน เราได้รับความสงบ แต่ส่วนใหญ่ความดีความเลวไม่เคยได้ยุติบทบาทของมัน เพราะมนุษย์ได้ให้คุณค่าความสำคัญกับมันทุกยุคทุกสมัย

เราพบเสมอว่าสงครามเกิดจากการแยกข้างอย่างขัดเจน ความดีกับความเลวเป็นเช่นเดียวกัน แยกข้างกันอย่างชัดเจน แล้วทำร้ายกันและกัน ความดีทำร้ายทั้งความดีและความเลว ความเลวทำร้ายทั้งความดีและความเลวเช่นกัน

เคยบ้างไหมถูกความเลวทำร้าย ส่วนใหญ่จะมองเห็นได้โดยง่าย เช่น ถูกปล้น ถูกฆ่า เป็นต้น แล้วเคยบ้างไหมถูกความดีทำร้าย ส่วนใหญ่จะตั้งคำถามกลับว่ามีด้วยหรือความดีทำร้าย มีเยอะแยะไปครับ เช่น โรคสองขั้นที่มีทุกปีในสถานที่ทำงาน มนุษย์ถูกความดีความชอบทำร้าย มนุษย์ในวงงานที่มีการเลื่อนขั้นเงินเดือนนี้จะป่วยเป็นโรคนี้ปีละหน และต่อไปในวงราชการที่มีการขึ้นเงินเดือนสองหน มนุษย์จะป่วยปีละสองหนครับ

ความดี ความเลวเป็นเครื่องมือประการหนึ่งของมนุษย์ที่ใช้ผิด เราใช้วัดภายนอกบนข้อตกลงที่เราผู้วัดใช้ใจวัด ความดี ความเลวนั้น เป็นเครื่องมือที่ต้องวัดภายในครับ ใช้วัดตัวของเราเองไม่ได้ใช้วัดผู้อื่น วัดตัวเองเพื่อสำรวจและปรับปรุงตนเอง ในขณะเดียวกันก็ปรับปรุงเครื่องมือวัดคือความดีความเลวด้วยเช่นกัน

สนามรบจะสงบด้วยใจของเราครับ ใจที่ไม่เลือกข้าง ไม่ว่าจะเป็นข้างใด ข้างความดีหรือข้างความเลว ข้างคนทำงานหรือข้างคนเกงาน ข้างคนทำงานเก่งหรือข้างคนทำงานไม่เก่ง ข้างคนของนายหรือข้างคนของประชาชน ข้างอะไรต่อมิอะไรอีกเยอะแยะครับ เพราะไม่อยู่ข้างใครแล้วเราจะไม่เข้าสู่สนามรบ

แต่ระวังไว้นะครับถ้าไม่เลือกข้างแล้วอยู่ไม่เป็น ความดีจะเข้าใจว่าเราอยู่ข้างความเลวและความเลวจะเข้าใจว่าเราอยู่ข้างความดี … คนของนายจะเข้าใจว่าเราเป็นคนของประชาชน และคนของประชาชนจะเข้าใจว่าเราเป็นคนของนาย…น่าขำนะครับ… แต่โลกความเป็นจริงเป็นเช่นนั้นครับ

ถ้าอยู่ไม่เป็นเราจะเจอะศึกสองด้านครับ หนักกว่าเลือกข้างอีกนะครับ อันตรายกว่าเยอะครับแล้วงานการที่ควรจะเป็นด้วยความสุขกลับจะทุกข์ยิ่งกว่าเก่าครับ

แล้วจะสงบและสุขได้อย่างไรถ้าไม่เลือกข้าง น่าคิดนะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น