วันจันทร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2557

มนุษย์ที่แท้ มรรควิถีของจางจื้อ ความสุขที่สมบูรณ์




ความสุขที่สมบูรณ์ (หน้า 169 หนังสือ มนุษย์ที่แท้ มรรควิถีของจางจื้อ แปลโดย ส.ศิวรักษ์)

จะหาความสุขที่สมบูรณ์ได้ไหมในโลกนี้ หรือว่าหาไม่ได้เลย 
มีวิธีใดบ้างไหม ที่จะทำให้การดำรงชีวิตเป็นไปอย่างมีคุณค่าเต็มที่ หรือว่าไม่มีเลย ฯ ถ้ามี จะค้นหาวิถีทางอันนั้นได้อย่างไร ฯ ควรทำอย่างไร ควรงดอะไร การกระทำต่างๆ ควรมุ่งไปที่เป้าหมายไหน 
ควรรับอะไร ควรเกลียดอะไร
สิ่งซึ่งโลกยกย่องคือเงินทอง ชื่อเสียง อายุยืน และความสำเร็จในชีวิต ฯ สิ่งที่ถือกันว่าเป็นความสุขคืออนามัยดี ร่างกายได้รับความสะดวกสบาย อาหารดี เครื่องนุ่งห่มสวยงาม ได้เห็นสิ่งอันน่ารื่นรมย์และได้ฟังดนตรีไพเราะ
สิ่งซึ่งโลกรังเกียจคือความยากจน ต่ำต้อย ไม่เป็นที่ไว้วางใจ และ อายุสั้น ฯ สิ่งซึ่งถือกันว่าเลวร้าย คือลำปากกาย ทำงานหนัก ไม่ได้กินอาหารเต็มอิ่ม ไม่มีเสื้อผ้าดีๆ ใส่ ตาไม่ได้เห็นสิ่งอันเป็นที่เพลิดเพลินเจริญใจ หูไม่ได้ฟังเพลงอันไพเราะ
เมื่อขาดสิ่งซึ่งถือกันว่าดี ก็มักวิตกกังวล ทุกข์ร้อน มักพะวงกันถึงชีวิตเลยเกิดความทุกข์จนแทบจะรับชีวิตนี้ไว้ไม่ได้ แม้จะได้สิ่งที่ปรารถนาแล้วก็ตาม เพราะมัวยุ่งแสวงหาความสุขนี้เอง ที่ทำให้ไร้สุข
คนรวยทำชีวิตไม่ให้น่าพิสมัยด้วยการมุ่งแต่จะหาทรัพย์ หาแล้วหาอีก จนไม่รู้ว่าจะเอาไปใช้ทำอะไร ยิ่งหาทรัพย์ยิ่งห่างจากความเป็นคนของตนเองออกไปทุกที ตัวตนที่แท้อ่อนกำลังลง ด้วยการเป็นทาสของงาน ดังหนึ่งตนเป็นทาสในเรือนเบี้ยเขาฉะนั้
คนมักใหญ่ใฝ่สูงวิ่งแสงงหาเกียรติยศทั้งวันทั้งคืน ต้องทนทุกข์ทรมานว่าตนจะได้ผลสมที่กับวางแผนไว้หรือไม่ ต้องคอยหวาดระแวงอยู่เสมอ ด้วยเกรงว่าการคำนวณผิดจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างปลาสนาการไป 
ยิ่งนับวันก็ยิ่งห่างจากความเป็นตนของตนออกไปทุกที ฯ ตัวตนที่แท้อ่อนกำลังลงด้วยการวิ่งแสวงหาเงาที่ขึ้นเองจากความหวังอันไม่รู้จักพอ 
มนุษย์เกิดขึ้นพร้อมกับความทุกข์ 
\ยิ่งมีชีวิตอยู่นาน ยิ่งโง่มากขึ้นเพราะยิ่งนับวันก็ยิ่งหาทางเลี่ยงสิ่งซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ คือความตาย ฯ น่าสงสารอะไรเช่นนั้น ที่ดำรงชีวิตอยู่เพื่อไขว่คว้าหาสิ่งซึ่งไม่มีวันจะจับได้ถึง ฯ กระหายที่จะอยู่รอดเพื่ออนาคต จนไม่สามารถจะดำรงชีวิตอยู่ได้ในปัจจุบัน 
แล้วขุนนางและนักเรียนผู้เสียสละทั้งหลายเล่า ฯ โลกยกย่องเขาเพราะเขาเป็นคนดี ซื่อตรงและเสียสละ ฯ แต่ความดีของเขาหาช่วยให้เขาพ้นทุกข์ได้ไม่ นอกไปจากนี้แล้ว เขายั้งต้องประสบความหายนะ ถูกถอด ถูกทำให้เสียชื่อเสียง และต้องตายด้วย 
ข้าพเจ้าสงสัยว่าในกรณีเช่นนี้ ที่ว่าความดีนั้นดีจริงละหรือ หรือว่านี่คือบ่อเกิดของความทุกข์อยู่ด้วย ฯ สมมุติว่าเราเขาเหล่านี้มีความสุข การมีความดีและหน้าที่การงาน อันนำไปสู่จุดหมายปลายทางที่ทำลายตนเองในที่สุดนั้น จะเรียกได้ว่านั่นคือความสุขละหรือ ฯ แต่จะว่าไม่เป็นความสุขได้อย่างไร ในเมื่อความเสียสละของเขา ได้ช่วยชีวิตและโชคชะตาของคนอื่นๆ เป็นอันมาก ฯ ยกตัวอย่างเสนาบดีที่ซื่อสัตย์สุจริต ชนิดที่ขัดขวางการตัดสินใจของพระราชาที่อยุติธรรม คนเหลานี้ทำตามคติที่ว่า ต้องพูดความจริง แม้พระเจ้าแผ่นดินจะไม่ทรงฟัง จะทำอะไรก็แล้วแต่พระทัยท่าน ขุนนางข้าราชการไม่มีหน้าที่อะไรยิ่งไปกว่านั้น 
คำถามก็คือ การกระทำเช่นนี้เป็นความดีหรือไม่ ในเมื่อการกระทำก่อให้เกิดผลร้ายแก่ผู้กระทำ ฯ
ข้าพเจ้าไม่สามารถบอกได้ว่่าสิ่งซึ่งโลกถือว่าเป็นความสุขนั้น เป็นความสุขจริงหรือไม่ ฯ ข้าพเจ้ารู้แต่เพียงว่าวิธีการที่มนุษย์แสวงหาความสุขนั้น ดูเขาชอบเอาหัวชนกำแพง ทำอย่างน่าสยดสยอง ดังหนึ่งถูกครอบงำให้ทำเช่นนั้น ฯ โดยทั่วๆ ไป ชอบวิ่งไปตามฝูงชน ไม่สามารถยั้งหยุดตนไว้ได้ และไม่ยอมเปลี่ยนทิศทางเดิน ฯ ทุกขณะ อ้างว่ากำลังจะเข้าถึงความสุขได้อยู่แล้ว 
สำหรับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่สามารถรับวิธีการเช่นนี้ได้ ไม่ว่านั่นจะก่อให้เกิดสุขหรือทุกข์ก็ตาม ข้าพเจ้าถามตนเองว่าที่เขาคิดกันว่าเป็นความสุขนั้น มีความหมายจริงๆ ละหรือ 
ตามทัศนะของข้าพเจ้า จะหาความสุขไม่ได้เลย ตราบเท่าที่ยังแสวงหาความสุขอยู่ ฯ ความสุขอย่างยิ่งของข้าพเจ้าอยู่ตรงที่ไม่ได้ทำอะไรเลย โดยที่การการะทำนั้นๆ ล้วนเป็นส่่วนที่จะสร้างสรรค์ให้เกิดความสุขด้วยกันทั้งสิ้น ฯ สำหรับชาวโลกส่วนใหญ่ นี้เป็นวิธีที่เลวที่สุดที่จะพึงคิดเห็นได้ 
ข้าพเจ้าถือตามคำกล่าวที่ว่า สุขที่สุดอยู่ที่ไม่มีความสุข การยกย่องอย่างวิเศษสุดอยู่ที่ไม่มีการยกย่อง ฯ
ถ้าท่านจะถามว่า ควรทำอะไรและไม่ควรทำอะไร ที่ในโลกนี้ เพื่อที่จะมีความสุข ฯ ข้าพเจ้าขอบอกได้ว่าคำถามเช่นนี้ไม่มีคำตอบ ฯ ไม่มีทางที่จะกำหนดสิ่งเหล่านี้ 
ในทันทีที่ข้าพเจ้าหยุดแสวงหาความสุข ความถูกและความผิดปรากฏชัดขึ้นมาเอง ฯ การดำรงอยู่อย่างเป็นสุขและความพึงใจในสิ่งที่มีอยู่ เป็นไปได้ในทันที่ที่หยุดทำการเพื่อแสวงหา ฯ ถ้าปฏิบัติอกรรม(วูไหว่) จะได้รับความสุขและอยู่อย่างเป็นสุขพร้อมๆ กันไป ฯ
ข้าพเจ้าขอสรุปดังนี้
ฟ้าไม่ทำอะไร อกรรมของฟ้าคือความสงบ
ดินไม่ทำอะไร อกรรมของดินคือการพักผ่อน
จากอกรรมของฟ้าแลดิน 
กิจกรรมต่างๆ เกิดขึ้น
สรรพสิ่งจึงเกิดขึ้น ฯ 
ภาวะต่างๆ เกิดขึ้น
อย่างกว้างใหญ่จนแลไม่เห็นได้ตลอด ฯ
สรรพิ่งมาจากความไม่มีสิ่งใดเลย 
ยิ่งใหญ่ และไม่เห็นได้
อธิบายให้ไม่ได้
สรรพสิ่งในสภาพที่สมบูรณ์
เกิดจากความไม่มีสิ่งใดเลย ฯ
จึงกล่าวได้ว่า
พ้าดินไม่ทำอะไรเลย
และไม่มีอะไรเลยที่ฟ้าดินไม่ได้ทำ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น